โชว์เคส Green Ocean บางจาก-พฤกษา-เอสซีจี
ชนิตา ภระมรทัต
ในวันนี้กลยุทธ์ Green Ocean มี บางจาก พฤกษา และ เอสซีจี ขออาสาเป็นผู้ตอบโจทย์ในฐานะองค์กรต้นแบบ
กำจัดความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" จริงหรือ...ที่จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบใหญ่ด้วยการผูกมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม?
ต้องขอเท้าความว่าเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันไทยพัฒน์ ร่วมกับ บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) ได้ออกมาประกาศเชิญชวนองค์กรและผู้ ประกอบการชาวไทยทั้งประเทศเดินทางสู่น่านน้ำสีเขียว หรือ Green Ocean สอดคล้องต่อความต้องการผู้บริโภคโลกยุคปัจจุบันและอนาคต
หนทางนี้ไม่ได้ยากลำบากเลย เพียงแค่มีความพร้อมในเรื่อง "ระบบ" และ "คน" เท่านั้น
ในเรื่อง ระบบ มีอยู่ด้วยกัน 3 หมวด คือ 1.ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร (Resource Efficiency) 2.ภาระรับผิดชอบ ในกระบวนการ (Process Accountability) และ 3.ประสิทธิผลในตัวผลิตภัณฑ์ (Product Effectiveness) โดยมีธรรมาภิบาลสีเขียว (Green Governance) คอยกำกับดูแลกระบวนการผลิตตลอดทั้งสาย จาก "ต้นน้ำ" ไปจนถึง "ปลายน้ำ"
ส่วน คน ว่าด้วยเรื่องอุปนิสัยสีเขียว 7 ประการ (Green Habits) ได้แก่ 1. Reduce 2.Reuse 3. Recycle ซึ่งสามข้อแรกนี้ในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วมาบวกเข้ากันกับ 4.Rethink 5.Recondition 6. Refuse และ 7.Return

ไอซียูจ๋า...ลาถาวร
วัฒนา โอภานนท์อมตะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรอบที่บางจากวางไว้ตั้งแต่ปีก่อตั้ง (25 ปีที่แล้ว) คือ ความสมดุลของ 'มูลค่า'และ'คุณค่า'หมายถึง ผลตอบแทนก็ต้องได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ต้องดีด้วย
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีกระบวนการจัดการที่ดี และปลูกฝังเข้าไปในหัวใจพนักงานทุกคน
บัณฑิตยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2547 บางจากเองก็เคยล้มทั้งยืนถึงขั้นต้องนอนไอซียู และเมื่อฟื้นจากไข้ก็ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งให้ทันเกม การแข่งชัน
ในเวลานั้นแม้ว่าไม่ได้มีแรงกดดันมาจากฝั่งผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่บางจากได้เริ่มมุ่งหน้าในเรื่องของพลังงานทางเลือก อย่าง ไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์
"ปัจจุบันเห็นชัดว่าหลายองค์กรตื่นตัวและพร้อมจะขยายการทำความดี ด้วยการไปชักชวนคนใกล้ตัว ซึ่งธุรกิจ ก็คือ คู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น ไปนำเสนอโมเดลที่ทำและพิสูจน์ว่าดีจริงถึงการทำ Greenและ growth พร้อมๆ กัน ซึ่งสาระสำคัญของมันเป็นการช่วยกันสร้างกัลยาณมิตรเพิ่ม"
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เขาได้หยิบยก คือ ซีเอสอาร์ คลับ ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 200 บริษัท เข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อโชว์และแชร์ข้อมูลประสบการณ์ตลอดจนทำกิจกรรมซีเอสอาร์
วัฒนาย้ำว่าบริษัทไซส์ใหญ่หรือเล็ก ใครๆ ก็เป็น Green Company ได้ หากหันมาทบทวน พัฒนาระบบและพนักงานของตัวเองให้ถึงซึ่ง มาตรฐาน ..ธุรกิจจะดำรงอย่างยั่งยืนหากปรับตัวตอบสนองทันและพร้อมต่อกระแสสีเขียว
ถูก ดี เร็ว
เมธา จันทร์แจ่มจรัส กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหากให้บอกกันตรงๆ ก็คือ ณ จุด สตาร์ทพฤกษานั้นไม่ได้คำนึงเรื่องความเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อมแม้แต่น้อย
โจทย์หลักของพฤกษา คือการบรรลุถึงความเป็นที่สุด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ต้นทุน 2.คุณภาพ 3.ประสิทธิภาพ ซึ่งเขายอมรับว่า ยากมากๆ
แต่ก็แก้ไขด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุน และที่ได้กลายเป็นการพลิกประวัติศาสตร์เลยก็คือ เพราะการคิดถึงคำว่า "สำเร็จรูป" อันเป็นที่มาของการสร้างโรงงานผลิตคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (ผนังสำเร็จประกอบติดตั้งบ้าน)
"เดิมที่ไซต์งานของเราจะไม่สามารถควบคุมมลภาวะเรื่องของฝุ่น เสียง ขยะ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดสะอ้านได้เลย แต่เมื่อเราใช้วัสดุตัวนี้ก็ควบคุมได้ดี เป็นมิตรต่อชุมชน ผลกระทบมีน้อย เป็นการตอบโจทย์ได้ทั้งสามข้อ มันทำให้เราเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยอดขายเราเป็นอันดับหนึ่ง"
เมธาบอกว่าพฤกษาขณะนี้กำลังอยู่ในโหมดขององค์กรที่ขันอาสาทำในเรื่อง Green Ocean และยังไม่ถึงขั้นทำร่วมมือกับซัพพลายเชน เพราะไม่ง่ายนักที่จะทำให้ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างทุกรายคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และไม่ง่ายเลยที่จะให้พันธมิตรธุรกิจนี้ทุกรายวิ่งในจังหวะเดียวกัน ถ้าให้วิ่งก็มีสิทธิ์สะดุดล้มอย่างแน่นอน และอาจตอบโจทย์ได้เรื่องเดียวคือ ถูก แต่ไม่ดี และ ไม่เร็ว ก็เป็นได้
ทุกอย่างเป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลา ต้องหวังผลระยะยาว ก็ด้วยการสร้างจิตสำนึกสอดแทรกในทุกกิจกรรมและการทำงานเพื่อให้พนักงาน และซัพพลายเชนได้ซึมซับเปลี่ยนทัศนคติทีละเล็กทีละน้อย
"ผมคิดเรื่องกองทุนรวม ผู้ประกอบการที่มีงบน้อยก็เหมือนคนมีรายได้น้อย อยากลงทุนก็ซื้อกองทุนรวม เข้าร่วมกิจกรรมหรือร่วมเครือข่ายกับองค์กรใหญ่ แต่จริงๆ แล้วแรงผลักดันที่ดีที่สุดคือผู้บริโภค เมื่อไหร่ที่พวกเขาพร้อมใจกันพูดถึงเรื่องนี้ บริษัททุกรายจะไม่มีข้อแม้ต้องปรับตัวทันที"
ครึ่งทางแห่งความยั่งยืน
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า วิชั่นของเอสซีจีที่จะก้าวสู่ความยั่งยืนและเป็นองค์กรต้นแบบในภูมิภาคอาเซียนนั้นมาถึงครึ่งทางแล้ว
ซึ่งเป็นการเดินตามกรอบสากลที่เป็นสามเหลี่ยมของเศรษฐกิจ- สังคม -สิ่งแวดล้อม โดยพนักงานกว่า 30,500 คนของเอสซีจีจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการผลักดัน
"องค์กรใหญ่ต้องสร้างความสมดุลจะเอนเอียงไปด้านในด้านหนึ่งด้านใดไม่ได้ ที่สำคัญถ้าเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจไม่โต ก็ไม่มีเงินไปทำเรื่องของสังคมและสิ่งแวดล้อม "
เพื่อความยั่งยืนแล้วนอกจากพัฒนาคนแล้ว เอสซีจียังได้เทน้ำหนักให้กับ "อาร์แอนด์ดี" และ "แบรนด์" ซึ่งก็คือ SCG Eco Value
"แบรนด์นี้จะสร้างความน่าเชื่อถือและ endorse ตัวเองได้ ดังนั้นก่อนจะอนุมัติให้สินค้าเราต้องเข้มงวด ตรวจทานอย่างเข้มข้นจริงๆ "
อย่างไรก็ตามเธอมองว่ากระแสสีเขียวในปัจจุบันยังไม่ร้อนแรงมากนัก คือไม่ถึงขั้น "แพงเท่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย" คนรักสิ่งแวดล้อมขณะเดียวกันก็ยังรักกระเป๋าเงินตัวเองมากกว่า แต่หากองค์กรธุรกิจช่วยกัน (เธอเรียกว่า กรีนณมิตร) ก็จะช่วยทำให้กระแสสีเขียวแรงยิ่งๆ ขึ้น
นอกจากนี้ กิจกรรมซีเอสอาร์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เอสซีจีขับเคลื่อนอย่างไม่ลดละ เน้นการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงลึกแบบกัดไม่ปล่อย อีกทั้งยังเสนอแนวคิด Replenish ที่หมายถึงฟื้นฟูสิ่งที่เสียไปให้กลับคืนมา เพิ่มจากอุปนิสัยสีเขียวทั้ง 7 ข้างต้น ...ด้วย มันทำยาก และยากที่จะทำ
[Original Link]
ในวันนี้กลยุทธ์ Green Ocean มี บางจาก พฤกษา และ เอสซีจี ขออาสาเป็นผู้ตอบโจทย์ในฐานะองค์กรต้นแบบ
กำจัดความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" จริงหรือ...ที่จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบใหญ่ด้วยการผูกมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม?
"ยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการเดินหน้าปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมไทย สู่ Green Industry หรือ อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งว่าด้วยเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม การบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล มีการเปิดเผยข้อมูล พร้อมกับส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาร่วมกัน" ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว |
ต้องขอเท้าความว่าเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันไทยพัฒน์ ร่วมกับ บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) ได้ออกมาประกาศเชิญชวนองค์กรและผู้ ประกอบการชาวไทยทั้งประเทศเดินทางสู่น่านน้ำสีเขียว หรือ Green Ocean สอดคล้องต่อความต้องการผู้บริโภคโลกยุคปัจจุบันและอนาคต
หนทางนี้ไม่ได้ยากลำบากเลย เพียงแค่มีความพร้อมในเรื่อง "ระบบ" และ "คน" เท่านั้น
ในเรื่อง ระบบ มีอยู่ด้วยกัน 3 หมวด คือ 1.ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร (Resource Efficiency) 2.ภาระรับผิดชอบ ในกระบวนการ (Process Accountability) และ 3.ประสิทธิผลในตัวผลิตภัณฑ์ (Product Effectiveness) โดยมีธรรมาภิบาลสีเขียว (Green Governance) คอยกำกับดูแลกระบวนการผลิตตลอดทั้งสาย จาก "ต้นน้ำ" ไปจนถึง "ปลายน้ำ"
ส่วน คน ว่าด้วยเรื่องอุปนิสัยสีเขียว 7 ประการ (Green Habits) ได้แก่ 1. Reduce 2.Reuse 3. Recycle ซึ่งสามข้อแรกนี้ในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วมาบวกเข้ากันกับ 4.Rethink 5.Recondition 6. Refuse และ 7.Return

ไอซียูจ๋า...ลาถาวร
วัฒนา โอภานนท์อมตะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรอบที่บางจากวางไว้ตั้งแต่ปีก่อตั้ง (25 ปีที่แล้ว) คือ ความสมดุลของ 'มูลค่า'และ'คุณค่า'หมายถึง ผลตอบแทนก็ต้องได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ต้องดีด้วย
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีกระบวนการจัดการที่ดี และปลูกฝังเข้าไปในหัวใจพนักงานทุกคน
บัณฑิตยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2547 บางจากเองก็เคยล้มทั้งยืนถึงขั้นต้องนอนไอซียู และเมื่อฟื้นจากไข้ก็ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งให้ทันเกม การแข่งชัน
ในเวลานั้นแม้ว่าไม่ได้มีแรงกดดันมาจากฝั่งผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่บางจากได้เริ่มมุ่งหน้าในเรื่องของพลังงานทางเลือก อย่าง ไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์
"ปัจจุบันเห็นชัดว่าหลายองค์กรตื่นตัวและพร้อมจะขยายการทำความดี ด้วยการไปชักชวนคนใกล้ตัว ซึ่งธุรกิจ ก็คือ คู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น ไปนำเสนอโมเดลที่ทำและพิสูจน์ว่าดีจริงถึงการทำ Greenและ growth พร้อมๆ กัน ซึ่งสาระสำคัญของมันเป็นการช่วยกันสร้างกัลยาณมิตรเพิ่ม"
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เขาได้หยิบยก คือ ซีเอสอาร์ คลับ ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 200 บริษัท เข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อโชว์และแชร์ข้อมูลประสบการณ์ตลอดจนทำกิจกรรมซีเอสอาร์
วัฒนาย้ำว่าบริษัทไซส์ใหญ่หรือเล็ก ใครๆ ก็เป็น Green Company ได้ หากหันมาทบทวน พัฒนาระบบและพนักงานของตัวเองให้ถึงซึ่ง มาตรฐาน ..ธุรกิจจะดำรงอย่างยั่งยืนหากปรับตัวตอบสนองทันและพร้อมต่อกระแสสีเขียว
ถูก ดี เร็ว
เมธา จันทร์แจ่มจรัส กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหากให้บอกกันตรงๆ ก็คือ ณ จุด สตาร์ทพฤกษานั้นไม่ได้คำนึงเรื่องความเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อมแม้แต่น้อย
โจทย์หลักของพฤกษา คือการบรรลุถึงความเป็นที่สุด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ต้นทุน 2.คุณภาพ 3.ประสิทธิภาพ ซึ่งเขายอมรับว่า ยากมากๆ
แต่ก็แก้ไขด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุน และที่ได้กลายเป็นการพลิกประวัติศาสตร์เลยก็คือ เพราะการคิดถึงคำว่า "สำเร็จรูป" อันเป็นที่มาของการสร้างโรงงานผลิตคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (ผนังสำเร็จประกอบติดตั้งบ้าน)
"เดิมที่ไซต์งานของเราจะไม่สามารถควบคุมมลภาวะเรื่องของฝุ่น เสียง ขยะ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดสะอ้านได้เลย แต่เมื่อเราใช้วัสดุตัวนี้ก็ควบคุมได้ดี เป็นมิตรต่อชุมชน ผลกระทบมีน้อย เป็นการตอบโจทย์ได้ทั้งสามข้อ มันทำให้เราเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยอดขายเราเป็นอันดับหนึ่ง"
เมธาบอกว่าพฤกษาขณะนี้กำลังอยู่ในโหมดขององค์กรที่ขันอาสาทำในเรื่อง Green Ocean และยังไม่ถึงขั้นทำร่วมมือกับซัพพลายเชน เพราะไม่ง่ายนักที่จะทำให้ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างทุกรายคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และไม่ง่ายเลยที่จะให้พันธมิตรธุรกิจนี้ทุกรายวิ่งในจังหวะเดียวกัน ถ้าให้วิ่งก็มีสิทธิ์สะดุดล้มอย่างแน่นอน และอาจตอบโจทย์ได้เรื่องเดียวคือ ถูก แต่ไม่ดี และ ไม่เร็ว ก็เป็นได้
ทุกอย่างเป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลา ต้องหวังผลระยะยาว ก็ด้วยการสร้างจิตสำนึกสอดแทรกในทุกกิจกรรมและการทำงานเพื่อให้พนักงาน และซัพพลายเชนได้ซึมซับเปลี่ยนทัศนคติทีละเล็กทีละน้อย
"ผมคิดเรื่องกองทุนรวม ผู้ประกอบการที่มีงบน้อยก็เหมือนคนมีรายได้น้อย อยากลงทุนก็ซื้อกองทุนรวม เข้าร่วมกิจกรรมหรือร่วมเครือข่ายกับองค์กรใหญ่ แต่จริงๆ แล้วแรงผลักดันที่ดีที่สุดคือผู้บริโภค เมื่อไหร่ที่พวกเขาพร้อมใจกันพูดถึงเรื่องนี้ บริษัททุกรายจะไม่มีข้อแม้ต้องปรับตัวทันที"
ครึ่งทางแห่งความยั่งยืน
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า วิชั่นของเอสซีจีที่จะก้าวสู่ความยั่งยืนและเป็นองค์กรต้นแบบในภูมิภาคอาเซียนนั้นมาถึงครึ่งทางแล้ว
ซึ่งเป็นการเดินตามกรอบสากลที่เป็นสามเหลี่ยมของเศรษฐกิจ- สังคม -สิ่งแวดล้อม โดยพนักงานกว่า 30,500 คนของเอสซีจีจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการผลักดัน
"องค์กรใหญ่ต้องสร้างความสมดุลจะเอนเอียงไปด้านในด้านหนึ่งด้านใดไม่ได้ ที่สำคัญถ้าเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจไม่โต ก็ไม่มีเงินไปทำเรื่องของสังคมและสิ่งแวดล้อม "
เพื่อความยั่งยืนแล้วนอกจากพัฒนาคนแล้ว เอสซีจียังได้เทน้ำหนักให้กับ "อาร์แอนด์ดี" และ "แบรนด์" ซึ่งก็คือ SCG Eco Value
"แบรนด์นี้จะสร้างความน่าเชื่อถือและ endorse ตัวเองได้ ดังนั้นก่อนจะอนุมัติให้สินค้าเราต้องเข้มงวด ตรวจทานอย่างเข้มข้นจริงๆ "
อย่างไรก็ตามเธอมองว่ากระแสสีเขียวในปัจจุบันยังไม่ร้อนแรงมากนัก คือไม่ถึงขั้น "แพงเท่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย" คนรักสิ่งแวดล้อมขณะเดียวกันก็ยังรักกระเป๋าเงินตัวเองมากกว่า แต่หากองค์กรธุรกิจช่วยกัน (เธอเรียกว่า กรีนณมิตร) ก็จะช่วยทำให้กระแสสีเขียวแรงยิ่งๆ ขึ้น
นอกจากนี้ กิจกรรมซีเอสอาร์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เอสซีจีขับเคลื่อนอย่างไม่ลดละ เน้นการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงลึกแบบกัดไม่ปล่อย อีกทั้งยังเสนอแนวคิด Replenish ที่หมายถึงฟื้นฟูสิ่งที่เสียไปให้กลับคืนมา เพิ่มจากอุปนิสัยสีเขียวทั้ง 7 ข้างต้น ...ด้วย มันทำยาก และยากที่จะทำ
[Original Link]