Green Ocean Strategy

(www.greenoceanstrategy.org)

โชว์เคส Green Ocean บางจาก-พฤกษา-เอสซีจี

ชนิตา ภระมรทัต

ในวันนี้กลยุทธ์ Green Ocean มี บางจาก พฤกษา และ เอสซีจี ขออาสาเป็นผู้ตอบโจทย์ในฐานะองค์กรต้นแบบ

กำจัดความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" จริงหรือ...ที่จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบใหญ่ด้วยการผูกมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม?

"ยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการเดินหน้าปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมไทย สู่ Green Industry หรือ อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งว่าด้วยเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม การบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล มีการเปิดเผยข้อมูล พร้อมกับส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาร่วมกัน"
ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

ต้องขอเท้าความว่าเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันไทยพัฒน์ ร่วมกับ บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) ได้ออกมาประกาศเชิญชวนองค์กรและผู้ ประกอบการชาวไทยทั้งประเทศเดินทางสู่น่านน้ำสีเขียว หรือ Green Ocean สอดคล้องต่อความต้องการผู้บริโภคโลกยุคปัจจุบันและอนาคต

หนทางนี้ไม่ได้ยากลำบากเลย เพียงแค่มีความพร้อมในเรื่อง "ระบบ" และ "คน" เท่านั้น

ในเรื่อง ระบบ มีอยู่ด้วยกัน 3 หมวด คือ 1.ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร (Resource Efficiency) 2.ภาระรับผิดชอบ ในกระบวนการ (Process Accountability) และ 3.ประสิทธิผลในตัวผลิตภัณฑ์ (Product Effectiveness) โดยมีธรรมาภิบาลสีเขียว (Green Governance) คอยกำกับดูแลกระบวนการผลิตตลอดทั้งสาย จาก "ต้นน้ำ" ไปจนถึง "ปลายน้ำ"

ส่วน คน ว่าด้วยเรื่องอุปนิสัยสีเขียว 7 ประการ (Green Habits) ได้แก่ 1. Reduce 2.Reuse 3. Recycle ซึ่งสามข้อแรกนี้ในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วมาบวกเข้ากันกับ 4.Rethink 5.Recondition 6. Refuse และ 7.Return


ไอซียูจ๋า...ลาถาวร
วัฒนา โอภานนท์อมตะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรอบที่บางจากวางไว้ตั้งแต่ปีก่อตั้ง (25 ปีที่แล้ว) คือ ความสมดุลของ 'มูลค่า'และ'คุณค่า'หมายถึง ผลตอบแทนก็ต้องได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ต้องดีด้วย

ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีกระบวนการจัดการที่ดี และปลูกฝังเข้าไปในหัวใจพนักงานทุกคน

บัณฑิตยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2547 บางจากเองก็เคยล้มทั้งยืนถึงขั้นต้องนอนไอซียู และเมื่อฟื้นจากไข้ก็ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งให้ทันเกม การแข่งชัน

ในเวลานั้นแม้ว่าไม่ได้มีแรงกดดันมาจากฝั่งผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่บางจากได้เริ่มมุ่งหน้าในเรื่องของพลังงานทางเลือก อย่าง ไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์

"ปัจจุบันเห็นชัดว่าหลายองค์กรตื่นตัวและพร้อมจะขยายการทำความดี ด้วยการไปชักชวนคนใกล้ตัว ซึ่งธุรกิจ ก็คือ คู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น ไปนำเสนอโมเดลที่ทำและพิสูจน์ว่าดีจริงถึงการทำ Greenและ growth พร้อมๆ กัน ซึ่งสาระสำคัญของมันเป็นการช่วยกันสร้างกัลยาณมิตรเพิ่ม"

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เขาได้หยิบยก คือ ซีเอสอาร์ คลับ ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 200 บริษัท เข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อโชว์และแชร์ข้อมูลประสบการณ์ตลอดจนทำกิจกรรมซีเอสอาร์

วัฒนาย้ำว่าบริษัทไซส์ใหญ่หรือเล็ก ใครๆ ก็เป็น Green Company ได้ หากหันมาทบทวน พัฒนาระบบและพนักงานของตัวเองให้ถึงซึ่ง มาตรฐาน ..ธุรกิจจะดำรงอย่างยั่งยืนหากปรับตัวตอบสนองทันและพร้อมต่อกระแสสีเขียว

ถูก ดี เร็ว
เมธา จันทร์แจ่มจรัส กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหากให้บอกกันตรงๆ ก็คือ ณ จุด สตาร์ทพฤกษานั้นไม่ได้คำนึงเรื่องความเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อมแม้แต่น้อย

โจทย์หลักของพฤกษา คือการบรรลุถึงความเป็นที่สุด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ต้นทุน 2.คุณภาพ 3.ประสิทธิภาพ ซึ่งเขายอมรับว่า ยากมากๆ

แต่ก็แก้ไขด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุน และที่ได้กลายเป็นการพลิกประวัติศาสตร์เลยก็คือ เพราะการคิดถึงคำว่า "สำเร็จรูป" อันเป็นที่มาของการสร้างโรงงานผลิตคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (ผนังสำเร็จประกอบติดตั้งบ้าน)

"เดิมที่ไซต์งานของเราจะไม่สามารถควบคุมมลภาวะเรื่องของฝุ่น เสียง ขยะ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดสะอ้านได้เลย แต่เมื่อเราใช้วัสดุตัวนี้ก็ควบคุมได้ดี เป็นมิตรต่อชุมชน ผลกระทบมีน้อย เป็นการตอบโจทย์ได้ทั้งสามข้อ มันทำให้เราเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยอดขายเราเป็นอันดับหนึ่ง"

เมธาบอกว่าพฤกษาขณะนี้กำลังอยู่ในโหมดขององค์กรที่ขันอาสาทำในเรื่อง Green Ocean และยังไม่ถึงขั้นทำร่วมมือกับซัพพลายเชน เพราะไม่ง่ายนักที่จะทำให้ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างทุกรายคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และไม่ง่ายเลยที่จะให้พันธมิตรธุรกิจนี้ทุกรายวิ่งในจังหวะเดียวกัน ถ้าให้วิ่งก็มีสิทธิ์สะดุดล้มอย่างแน่นอน และอาจตอบโจทย์ได้เรื่องเดียวคือ ถูก แต่ไม่ดี และ ไม่เร็ว ก็เป็นได้

ทุกอย่างเป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลา ต้องหวังผลระยะยาว ก็ด้วยการสร้างจิตสำนึกสอดแทรกในทุกกิจกรรมและการทำงานเพื่อให้พนักงาน และซัพพลายเชนได้ซึมซับเปลี่ยนทัศนคติทีละเล็กทีละน้อย

"ผมคิดเรื่องกองทุนรวม ผู้ประกอบการที่มีงบน้อยก็เหมือนคนมีรายได้น้อย อยากลงทุนก็ซื้อกองทุนรวม เข้าร่วมกิจกรรมหรือร่วมเครือข่ายกับองค์กรใหญ่ แต่จริงๆ แล้วแรงผลักดันที่ดีที่สุดคือผู้บริโภค เมื่อไหร่ที่พวกเขาพร้อมใจกันพูดถึงเรื่องนี้ บริษัททุกรายจะไม่มีข้อแม้ต้องปรับตัวทันที"

ครึ่งทางแห่งความยั่งยืน
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า วิชั่นของเอสซีจีที่จะก้าวสู่ความยั่งยืนและเป็นองค์กรต้นแบบในภูมิภาคอาเซียนนั้นมาถึงครึ่งทางแล้ว

ซึ่งเป็นการเดินตามกรอบสากลที่เป็นสามเหลี่ยมของเศรษฐกิจ- สังคม -สิ่งแวดล้อม โดยพนักงานกว่า 30,500 คนของเอสซีจีจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการผลักดัน

"องค์กรใหญ่ต้องสร้างความสมดุลจะเอนเอียงไปด้านในด้านหนึ่งด้านใดไม่ได้ ที่สำคัญถ้าเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจไม่โต ก็ไม่มีเงินไปทำเรื่องของสังคมและสิ่งแวดล้อม "

เพื่อความยั่งยืนแล้วนอกจากพัฒนาคนแล้ว เอสซีจียังได้เทน้ำหนักให้กับ "อาร์แอนด์ดี" และ "แบรนด์" ซึ่งก็คือ SCG Eco Value

"แบรนด์นี้จะสร้างความน่าเชื่อถือและ endorse ตัวเองได้ ดังนั้นก่อนจะอนุมัติให้สินค้าเราต้องเข้มงวด ตรวจทานอย่างเข้มข้นจริงๆ "

อย่างไรก็ตามเธอมองว่ากระแสสีเขียวในปัจจุบันยังไม่ร้อนแรงมากนัก คือไม่ถึงขั้น "แพงเท่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย" คนรักสิ่งแวดล้อมขณะเดียวกันก็ยังรักกระเป๋าเงินตัวเองมากกว่า แต่หากองค์กรธุรกิจช่วยกัน (เธอเรียกว่า กรีนณมิตร) ก็จะช่วยทำให้กระแสสีเขียวแรงยิ่งๆ ขึ้น

นอกจากนี้ กิจกรรมซีเอสอาร์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เอสซีจีขับเคลื่อนอย่างไม่ลดละ เน้นการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงลึกแบบกัดไม่ปล่อย อีกทั้งยังเสนอแนวคิด Replenish ที่หมายถึงฟื้นฟูสิ่งที่เสียไปให้กลับคืนมา เพิ่มจากอุปนิสัยสีเขียวทั้ง 7 ข้างต้น ...ด้วย มันทำยาก และยากที่จะทำ


[Original Link]